มหาชาติ หรือ มหาเวสสันดรชาดก
ที่มาของเรื่อง
สันนิษฐานว่า พบหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกในสมัยกรุงศรีอยุธยาและถือว่าเป็นมหาเวสสันดรชาดกที่แปลแล้วนำมาแต่งเป็นภาษาไทยเล่มแรกคือ มหาชาติคำหลวง ซึ่งสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถพระกรุณาโปรดเกล้าให้นักปราชญ์ราชบัณฑิตช่วยแปลและเรียบเรียงขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๐๒๕ ต่อมาในสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมได้โปรดเกล้าให้นักปราชญ์ราชบัณฑิตเรียบเรียงมหาเวสสันดรชาดกเป็นภาษาไทยอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ พ.ศ.๒๑๗๐ เรียกว่า กาพย์มหาชาติ แต่งแปลเป็นภาษาไทยใช้ฉันทลักษณ์เดียวคือ ร่ายยาว เพื่อใช้สำหรับเทศน์ให้อุบาสกอุบาสิกาได้ฟังกัน
-------------------------------------------------
เป็นกวีเอกคนหนึ่งในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ มีนามเดิมว่า หน
เกิดเมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด น่าจะอยู่ในช่วงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา
เป็นบุตรเจ้าพระยาบดินทร์สุรินทร์ ฦๅชัย (บุญมี) กับท่านผู้หญิงเจริญ
ถึงแก่อสัญกรรมในสมัยรัชกาลที่ ๑ พ.ศ.๒๓๔๘
พระราชนิพนธ์ ในมหาเวสสันดรชาดก ๒ กัณฑ์ คือ มัทรี กุมาร
พระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าวาสุกรี
ประสูติเมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๓
เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ
เมื่อพระชนมายุ ๑๒ พรรษา ได้ผนวชเป็นสามเณร ประทับ ณ พระตำหนักท่าวาสุกรี วัดพระเชตุพนฯ ในสมัยรัชกาลที่ ๒ ได้รับสถาปนาเป็นกรมหมื่นนุชิตชิโนรส ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ได้รับการสถาปนาเป็นกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส ต่อมาในรัชกาลที่ ๖ โปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็นสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปรมานุชิตชิโนรส
สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๖ รวมพระชนมายุ ๖๔ พรรษา
งานพระนิพนธ์ที่สำคัญ ได้แก่ ตำราฉันท์มาตราพฤติและวรรณพฤติ ลิลิตตะเลงพ่าย สมุทรโฆษคำฉันท์ ทรงนิพนธ์ต่อจากพระมหาราชครูและสมเด็จพระนารายณ์มหาราชซึ่งค้างไว้ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก ๑๑ กัณฑ์ เว้นกัณฑ์มหาพนและกัณฑ์มัทรี เพราะทรงเห็นว่าพระเทพโมลี (กลิ่น) และเจ้าพระยาพระคลัง (หน) แต่งกัณฑ์มัทรีไว้ดีแล้ว
พระราชนิพนธ์ในมหาเวสสันดรชาดก ๕ กัณฑ์ คือ ทศพร หิมพานต์ มหาราช ฉกษัตริย์ นครกัณฑ์
พระนามเดิมว่า เจ้าฟ้ามงกุฎ สมมติเทวาวงศ์พงษ์อิศรกษัตริย์
เสด็จพระราชสมภพในวันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๓๔๗ ในสมัยรัชกาลที่ ๑
เป็นพระราชโอรสองค์ที่ ๔๓ และเป็นลำดับที่ ๒ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยและสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี
เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ รวมพระชนมพรรษา ๖๔ พรรษา
พระราชนิพนธ์ในมหาเวสสันดรชาดก ๓ กัณฑ์ คือ วนปเวสน์ จุลพน สักบรรพ
เกิดเมื่อประมาณปีพระพุทธศักราช ๒๒๘๓ รัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ มีเชื้อสายรามัญ
ท่านบรรพชา-อุปสมบทวัดตองปุ อยุธยา สมัยพระเจ้าเอกทัศน์เมื่อกรุงศรีอยุธยาล่มสลาย ท่านพระมหาศรี พระขุน และพระเทพโมลี ครั้งเป็นพระกลิ่น หลบภัยข้าศึกล่องลงมาทางใต้ถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ท่านและคณะกลับมาอยู่วัดกลางนา (วัดตองปุหรือวัดชนะสงคราม) กรุงเทพฯ ต่อมาทราบข่าวพระอาจารย์สุกมาสถิตวัดพลับเป็นที่พระญาณสังวรเถร ทั้งสามท่านจึงตามมาอยู่วัดพลับ เรียนขอเล่าเรียนพระกรรมฐานมัชฌิมา พระมหากลิ่น และคณะทราบว่าพระอาจารย์สุก มาสถิตวัดพลับ ทรงเชี่ยวชาญวิปัสสนากรรมฐานจึงได้เข้าไปกราบนมัสการขออนุญาตพระมหาสุเมธาจารย์เป็นเจ้าอาวาสวัดกลางนา เพื่อมาศึกษาพระกรรมฐานในสำนักพระญาณสังวรเถร (สุก)
นิพนธ์ในมหาเวสสันดรชาดก ๑ กัณฑ์ คือ มหาพน
๕. สำนักวัดถนน
นายทองอยู่เกิดที่บ้านไผ่จำศีล อำเภอวิเศษไชยชาญ จังหวัดอ่างทอง
เมื่ออายุ ๑๐-๑๑ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ได้ผ่านวัดอยู่วัดหนึ่ง เรียกว่า “วัดถนน” จึงพักอยู่วัดนี้ และอุปสมบทเรื่อยมา ท่านทองนับว่าเป็นสถาปนิกชั้นเยี่ยม ท่านสร้างเจดีย์ที่งดงาม รวมถึงแต่งร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดกกัณฑ์ทานกัณฑ์แล้วยังแต่งบททำขวัญนาคไว้อย่างไพเราะอีกด้วย
นิพนธ์ในมหาเวสสันดรชาดก ๑ กัณฑ์ คือ ทานกัณฑ์
๖. สำนักวัดสังข์กระจาย
เป็นชื่อสำนักที่ท่านผู้แต่งบวชอยู่ วัดนี้อยู่ริมคลองบางกอก เป็นวัดโบราณ
ท่านผู้แต่งกัณฑ์ชูชกนี้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงนุภาพทรงสันนิษฐานว่า คือ พระเทพมุนี (ด้วง) แต่ประวัติของท่านยังไม่เป็นที่แน่ชัด
ในพ.ศ. ๒๓๓๒ คราวเกิดอสุนีบาตตกต้องมุขพระที่นั่งอินทราภิเศกมหาปราสาทติดเป็นเพลิงไหม้ขึ้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระแสงของ้าวเร่งข้าราชการดับเพลิงจนสงบ แล้วทรงปริวิตกว่าเห็นจะเป็นอัปมงคลนิมิตแก่บ้านพระราชาคณะที่เป็นปราชญ์ต่างได้ลงชื่อถวายชัยมงคล ซึ่งรายนามพระสงฆ์ที่ถวายพระพรครั้งนั้นมีพระเทพมุนีวัดสังข์กระจายด้วยรูปหนึ่ง นอกจากนี้ พระเทพมุนีรูปนี้ยังถวายเทศน์กัณฑ์ชูชกในรัชกาลที่ ๑ ทั้งยังเคยถวายแก้ข้อกังหาปัญหาธรรมและพระราชปุจฉา
นิพนธ์ในมหาเวสสันดรชาดก ๑ กัณฑ์ คือ ชูชก
-------------------------------------------------
ลักษณะการแต่ง
ลักษณะการแต่ง
แต่งเป็นร่ายยาว หนึ่งบทจะมีกี่วรรคก็ได้ ส่วนมากมี ๕ วรรคขึ้นไป วรรคหนึ่งๆ มีตั้งแต่ ๖ คำขึ้นไป มีบังคับเฉพาะระหว่างวรรค คือ คำสุดท้ายของวรรคจะส่งสัมผัสไปที่คำที่ ๑ ถึง ๕ ของวรรคต่อไป เมื่อจบตอนมักมีคำสร้อย เช่น นั้นแล นี้แล
ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก เป็นร่ายยาวสำหรับเทศน์ จะมีคำศัพท์บาลีขึ้นก่อนแล้วแปลเป็นภาษาไทย แล้วมีร่ายตาม ในระหว่างการดำเนินเรื่องจะมีคำบาลีคั่นเป็นระยะๆ คำบาลีนั้นมีความหมายเกี่ยวเนื่องกับข้อความที่ตามมา
การอ่านคำประพันธ์ประเภทร่าย
นิยมอ่านหลบเสียงสูงให้ต่ำลงในระดับของเสียงที่ใช้อยู่ ส่วนเสียงตรีที่หลบต่ำลงนั้นอาจเพี้ยนไปบ้าง เช่น น้อยน้อยเป็นนอยนอย แต่เสียงจัตวา แม้จะหลบเสียงต่ำลงมักจะไม่เพี้ยน
การอ่านร่ายทุกชนิดจะอ่านทำนองเหมือนกัน คือ ทำนองสูงด้วยเสียงระดับเดียวกัน และการลงจังหวะจะอยู่ที่ท้ายวรรคของทุกวรรค ส่วนจะอ่านด้วยลีลาใดนั้น ขึ้นอยู่กับอารมณ์ตามเนื้อความ ดังนี้
การอ่านตอนจบ ผู้อ่านจะต้องทอดเสียงให้ยาวกว่าการทิดเสียงท้ายวรรคอื่นๆ เพื่อให้ผู้ฟังรู้ว่าเรื่องที่ฟังกำลังจะจบแล้ว และเป็นการสร้างความประทับใจให้ผู้ฟัง
ตัวอย่างการอ่านร่ายยาว
- เนื้อความแสดงอารมณ์เศร้า ใช้น้ำเสียงเบาลง ทอดเสียงให้ช้าลงกว่าปกติ
- เนื้อความแสดงอารมณ์โกรธ ใช้น้ำเสียงหนักแน่น เน้นเสียงดังกว่าปกติ
- เนื้อความแสดงอารมณ์ขบขัน ทำเสียงให้แสดงถึงความขบขัน
- เนื้อความบรรยายหรือพรรณนา อ่านตามอารมณ์ของเนื้อความนั้น
- เนื้อความสั่งสอน ใช้น้ำเสียงไม่ดังหรือเบาเกินไป เน้นคำที่สั่งสอน แต่ไม่ห้วน
- เนื้อความบรรยายการต่อสู้ ใช้น้ำเสียงดัง หนักแน่น ห้วน กระชับ
- เนื้อความแสดงความตกใจ ใช้น้ำเสียงหนักเบา เสียงสั่นตามเนื้อความ
- เนื้อความตัดพ้อต่อว่า ใช้น้ำเสียงหนักบ้าง เน้นบ้าง สะบัดเสียงบ้าง
การอ่านร่าย พยายามอ่านให้จบวรรค เพราะจังหวะหลักของร่ายทุกชนิดจะอยู่ที่ปลายวรรค ซึ่งเป็นคำส่งสัมผัส ส่วนจังหวะเสริมจะอยู่ที่คำรับ ดังนั้นเมื่ออ่านถึงคำรับสัมผัสจะต้องเน้นเสียงหรือทอดเสียงการอ่านตอนจบ ผู้อ่านจะต้องทอดเสียงให้ยาวกว่าการทิดเสียงท้ายวรรคอื่นๆ เพื่อให้ผู้ฟังรู้ว่าเรื่องที่ฟังกำลังจะจบแล้ว และเป็นการสร้างความประทับใจให้ผู้ฟัง
ตัวอย่างการอ่านร่ายยาว
-------------------------------------------------
เนื้อเรื่องย่อ
กัณฑ์ที่ ๑ ทศพร มี ๑๙ พระคาถา
กล่าวถึงพระนางผุสดีจะต้องจุติจากสวรรค์ พระอินทร์จึงประทานพร
๑๐ ประการให้พระนางผุสดี ได้แก่ ๑) ขอให้เกิดในกรุงมัทราชแคว้นสีพี ๒) ขอให้มีดวงเนตรคมงามและดำขลับดั่งลูกเนื้อทราย
๓) ขอให้คิ้วคมขำดังสร้อยคอนกยูง ๔) ขอให้ได้นามตามภพเดิมว่าผุสดี ๕) ขอให้มีพระโอรสที่เกริกเกียรติที่สุดในชมพูทวีป
๖) ขอให้พระครรภ์งามไม่ป่องนูนตามสตรีสามัญ ๗) ขอให้มีพระถันเปล่งปลังงดงามไม่ยานคล้อยลง
๘) ขอให้เส้นพระเกศาดำขลับตลอดชาติ ๙) ขอให้มีผิวพรรณละเอียดบริสุทธิ์ดุจทองคำธรรมชาติ ๑๐) ขอให้ปลดปล่อยนักโทษที่ต้องอาญาประหารได้
กัณฑ์ที่ ๒ หิมพานต์ มี ๑๓๔ พระคาถา
พระนางผุสดีได้จุติลงมาเป็นพระราชธิดาพระเจ้ามัททราชและได้เป็นพระมเหสีพระเจ้ากรุงสญชัยแห่งแคว้นสีพี
ต่อมาได้ประสูติพระเวสสันดร ในวันที่ประสูตินั้นได้มีนางช้างฉัททันต์ตกลูกเป็นช้างเผือกขาวบริสุทธิ์
จึงนำมาไว้ในโรงช้างต้น ให้มีนามว่าปัจจัยนาค มีคุณวิเศษคือทำให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล
พระเวสสันดรใฝ่ใจการบริจาคทานจึงพระราชทานช้างปัจจัยนาคให้กับชาวเมืองกลิงคราษฏร์ ซึ่งเป็นเมืองแห้งแล้ง
ข้าวยากหมากแพงมาหลายปี ทำให้ชาวเมืองสีพีโกรธและเรียกร้องให้พระเจ้ากรุงสญชัยทรงลงโทษพระเวสสันดร
พระเจ้ากรุงสญชัยจึงทรงเนรเทศพระเวสสันดรไปจากเมือง
กัณฑ์ที่ ๓ ทานกัณฑ์ มี ๒๐๙ พระคาถา
ก่อนที่พระเวสสันดรพร้อมด้วยพระนางมัทรี ชาลี และกัณหาออกจากพระนคร
จึงทูลขอพระราชทานโอกาสบำเพ็ญมหาสัตสดกทาน คือ การให้ทานครั้งยิ่งใหญ่ อันได้แก่
ช้าง ม้า โคนม นารี ทาสีทาสาสรรพวัตถาภรณ์ต่างๆ รวมทั้งสุราบานอย่างละ ๗๐๐
กัณฑ์ที่ ๔
วนประเวศน์ มี ๕๗ พระคาถา
เมื่อเดินทางถึงนครเจตราช
ทั้งสี่กษัตริย์จึงแวะเข้าประทับพักหนาศาลาพระกษัตริย์ผู้ครองนครเจตราช
จึงทูลเสด็จครองเมือง
แต่พระเวสสันดรทรงปฏิเสธ
และเมื่อเสด็จถึงถึงเขาวงกต ได้พบศาลาอาศรม ซึ่งท้าววิษณุกรรมเนรมิตตามพระบัญชาของพระอินทร์
กษัตริย์ทั้งสี่จึงทรงผนวชเป็นฤๅษีพำนักในอาศรม
กัณฑ์ที่ ๕ ชูชก มี ๗๙ พระคาถา
มีพราหมณ์แก่ชื่อชูชกพนักในบ้านทุนวิฐะ เที่ยวขอทานในเมืองต่างๆ
เมื่อได้เงินถึง ๑๐๐ กหาปณะ จึงนำไปฝากไว้กับพราหมณ์ผัวเมีย แต่ได้นำเงินไปใช้เป็นการส่วนตัว
เมื่อชูชกมาทวงเงินคืนจึงยกนางอมิตดาลูกสาวให้แก่ชูชก นางอมิตดาเมื่อมาอยู่ร่วมกับชูชกได้ทำหน้าที่ของภรรยาที่ดี
ทำให้ชายในหมู่บ้านเปรียบเทียบกับภรรยาตน หญิงในหมู่บ้านจึงเกลียดชังและรุมทำร้ายทุบตีนางอมิตดา
ชูชกจึงเดินทางไปทูลขอกัณหาชาลีเพื่อเป็นทาสรับใช้ เมื่อเดินทางมาถึงเขาวงกตก็ถูกขัดขวางจากพราหมณ์เจตบุตรผู้รักษาประตูป่า
กัณฑ์ที่ ๖ จุลพน มี ๓๕ พระคาถา
พรานเจตบุตรหลงกลชูชก ที่ได้ชูกลักพริกขิงแก่พรานเจตบุตร อ้างว่าเป็นพระราชสาสน์ของเจ้ากรุงสญชัยจะนำไปถวายพระเวสสันดร
พรานเจตบุตรจึงได้พาไปยังต้นทางที่จะไปอาศรมฤๅษี
กัณฑ์ที่ ๗ มหาพล มี ๘๐ พระคาถา
เมื่อถึงอาศรมฤๅษี ชูชกได้พบกับจุตฤๅษี ชูชกใช้คารมหลอกล่อจุตฤๅษี
พระฤาษีหลงเชื่อจึงให้ที่พักหนึ่งคืนและบอกเส้นทางไปยังอาศรมพระเวสสันดร
กัณฑ์ที่ ๘ กุมาร มี ๑๐๑ พระคาถา
ชูชกเข้าไปขอสองกุมาร พระเวสสันดรพระราชทานให้ สองกุมารรู้ความจึงหนีไปอยู่ในสระบัว
พระเวสสันดรตามไปพูดจาให้สองกุมารเข้าใจ สองกุมารจึงขึ้นจากสระบัว ชูชกพาสองกุมารเดินทางโดย เร่งรีบด้วยเกรงว่าหากพระนางมัทรีกลับจากหาผลไม้ก่อนจะเสียการ
กัณฑ์ที่ ๙ มัทรี มี ๙๐ พระคาถา
พระนางมัทรีเดินเข้าไปหาผลไม้ในป่าลึกจนคล้อยเย็นจึงเดินทางกลับอาศรม
แต่มีเทวดาแปลงกายเป็นเสือนอนขวางทางจนค่ำ เมื่อกลับถึงอาศรมไม่พบโอรส พระเวสสันดรได้กล่าวว่านางนอกใจจึงออกเที่ยวหาโอรสและกลับมาสิ้นสติต่อเบื้องพระพักตร์
พระองค์ทรงตกพระทัย ลืมตนว่าเป็นดาบส จึงทรงเข้าอุ้มพระนางมัทรีและทรงกันแสง
เมื่อนางมัทรีฟื้นจึงถวายบังคมประทานโทษพระเวสสันดรจึงบอกความจริงว่าได้ประทานโอรสแก่ชูชกแล้ว
หากชีวิตไม่สิ้นคงจะได้พบนางจึงได้ทรงอนุโมทนา
กัณฑ์ที่ ๑๐ สักกบรรพ มี ๔๓ พระคาถา
พระอินทร์เกรงว่าหากมีใครมาขอพระนางมัทรีจากพระเวสสันดร ก็จะทำให้พระเวสสันดรบำเพ็ญภาวนาไม่สะดวก
ด้วยไม่มีผู้คอยปรนนิบัติ ดังนั้นพระอินทร์จึงแปลงกายเป็นพราหมณ์เฒ่าลงมาขอและได้ให้พรแปดประการแก่พระเวสสันดร
รวมทั้งยังฝากฝังพระนางมัทรีไว้ให้อยู่ปรนนิบัติพระเวสสันดรด้วย
กัณฑ์ที่ ๑๑ มหาราช มี ๖๙ พระคาถา
เมื่อเดินทางผ่านป่าใหญ่ชูชกจะผูกสองกุมารไว้ที่โคนต้นไม้ ส่วนตนปีนขึ้นไปนอนบนต้นไม้
เหล่าเทวดาจึงแปลงร่างลงมาปกป้องสองกุมารจนเดินทางถึงกรุงสีพีเกิดนิมิตฝันตามคำทำนายยังความปีติปราโมทย์
เมื่อเสด็จลงหน้าลานหลวงตอนรุ่งเช้าทอดพระเนตรเห็นชูชกพากุมารน้อยสองพระองค์ทรงทราบความจริงจึงพระราชทานค่าไถ่คืน
ต่อมาชูชกก็ดับชีพตักษัยด้วยเพราะเดโชธาตุไม่ย่อย ชาลีจึงได้ทูลขอให้ไปรับพระบิดาพระมารดานิวัติพระนคร
ในขณะเดียวกันเจ้านครกลิงคะได้โปรดคืนช้างปัจจัยนาคแก่นครสีพี
กัณฑ์ที่ ๑๒ ฉกษัตริย์ มี ๓๖ พระคาถา
พระเจ้ากรุงสญชัยใช้เวลา ๑ เดือน กับ ๒๓ วัน
จึงเดินถึงเขาวงกต เสียงโห่ร้องของทหารทั้ง ๔ เหล่าทำให้พระเวสสันดรทรงคิดว่าเป็นข้าศึกมารบนนครสีพี
จึงชวนนางมัทรีขึ้นไปแอบดูที่ยอดเขา พระนางมัทรีทรงมองเห็นกองทัพพระราชบิดา ได้ทรงตรัสทูลพระเวสสันดรและเมื่อหกกษัตริย์ได้พบหน้ากันทรงกันแสงสุดประมาณ
รวมทั้งทหารเหล่าทัพทำให้ป่าใหญ่สนั่นครั่นครืน พระอินทร์จึงได้ทรงบันดาลให้ฝนตกประพรมหกกษัตริย์และหวยหาญได้หายเศร้าโศก
กัณฑ์ที่ ๑๓ นครกัณฑ์ มี ๔๘ พระคาถา
หกกษัตริย์ยกพลกลับคืนพระนคร พระเจ้ากรุงสัญชัยตรัสสารภาพผิด
พระเวสสันดรจึงทรงลาผนวชพร้อมทั้งพระนางมัทรีและเสด็จกลับสู่สีพีนคร เมื่อเสด็จถึงจึงรับสั่งให้ชาวเมืองปล่อยสัตว์ที่กักขัง
ครั้นยามราตรีพระเวสสันดรทรงปริวิตกว่า รุ่งเช้าประชาชนจะแตกตื่นมารับบริจาคทาน พระองค์จะประทานสิ่งใดแก่ประชาชนท้าวโกสีห์ได้ทราบจึงบันดาลให้มีฝนแก้ว
๗ ประการตกลงมาในนครสีพีสูงถึงหน้าแข้ง พระเวสสันดรจึงทรงประกาศให้ประชาชนขนเอาตามปรารถนา
ที่เหลือให้ขนเข้าคลังหลวง
ในการต่อมาพระเวสสันดรเถลิงราชสมบัติปกครองนครสีพีโดยทศพิธราชธรรมบ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุขตลอดพระชนมายุ
-------------------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น